เครนติดผนัง (Wall- crane)
เป็นเครื่องจักรที่ถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนผนังหรือโครงสร้างของโรงงานหรือพื้นที่ทำงานต่างๆ มีลักษณะเด่นที่ไม่ต้องใช้พื้นที่พื้นมาก และเหมาะสมต่อการใช้งานในพื้นที่จำกัด นี่คือคุณสมบัติและการเหมาะสมในการเลือกใช้เครนติดผนัง:
1. ความสามารถในการรองรับน้ำหนัก:
เครนติดผนังมีความสามารถในการยกน้ำหนักเบาถึงปานกลาง ขึ้นอยู่กับขนาดของเครนและโครงสร้างที่รองรับ เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องยกของหนักมาก
2. ประหยัดพื้นที่:
เครนชนิดนี้เหมาะกับพื้นที่ที่จำกัด เพราะไม่ต้องการพื้นที่บนพื้น
สามารถติดตั้งบนผนังหรือเสาที่มีความแข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักการทำงานได้
3. ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง:
สามารถติดตั้งได้ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน
และสามารถออกแบบให้เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน
4. เหมาะสำหรับการทำงานเฉพาะจุด:
เครนติดผนังเหมาะสำหรับการยกของในพื้นที่เฉพาะหรือ
ในพื้นที่ที่มีการทำงานซ้ำๆ เช่น การยกของในบริเวณสายการผลิต หรือการยกของในโรงงานที่มีขนาดเล็ก
5. ความคุ้มค่าในการลงทุน:
ต้นทุนของเครนติดผนังจะต่ำกว่าเครนเหนือศีรษะ (Overhead crane)
หรือเครนแบบอื่นๆ ทำให้เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับงานที่ไม่ต้องการเครื่องจักรที่ซับซ้อน
6. ความสะดวกในการใช้งาน:
การควบคุมและบำรุงรักษาง่าย เครนชนิดนี้มักจะมีระบบควบคุม
ที่ง่ายต่อการใช้งาน และมีความปลอดภัยสูงหากติดตั้งและใช้งานอย่างถูกต้อง
7. ความทนทาน:
เครนติดผนังมีโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทาน เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการสึกหรออย่างหนัก
การเลือกใช้เครนติดผนังจะต้องพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักที่ต้องการยก ลักษณะของงาน และความแข็งแรงของผนังหรือโครงสร้างที่จะติดตั้ง เพื่อให้การใช้งานปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
เครนติดผนัง (Wall-mounted crane) มีส่วนประกอบหลักที่สำคัญดังนี้:
1. แขนยื่น (Jib Arm)
เป็นส่วนประกอบหลักที่ยื่นออกมาจากผนังหรือเสาที่เครนถูกติดตั้ง
แขนยื่นจะเป็นจุดที่รับน้ำหนักของโหลดที่ต้องการยกและเคลื่อนย้าย แขนยื่นนี้อาจเป็นแบบหมุนได้ (rotating jib) หรือเป็นแบบยึดคงที่ ขึ้นอยู่กับการออกแบบ
2. รอกยก (Hoist)
เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ยกและลดโหลด รอกยกอาจเป็นรอกไฟฟ้า
รอกโซ่ หรือรอกสายสลิง ขึ้นอยู่กับความต้องการการใช้งานและน้ำหนักที่ต้องการยก
3. ระบบควบคุม (Control System)
ระบบควบคุมที่ใช้ในการสั่งการรอกยก เช่น รีโมทคอนโทรลหรือแผงควบคุมแบบสาย
ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถควบคุมการยก การลด และการหมุนของแขนเครนได้อย่างปลอดภัย
4. แคร่รางวิ่ง (Trolley)
เป็นส่วนที่ติดตั้งอยู่บนแขนยื่น และทำหน้าที่วิ่งไปมาบนแขนยื่นเพื่อเคลื่อนย้ายรอก
และโหลดที่ยกอยู่ในแนวราบ
5. โครงสร้างยึดติด (Mounting Structure)
เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการยึดเครนติดกับผนังหรือเสา โครงสร้างนี้ต้องมีความแข็งแรง
มากพอที่จะรองรับน้ำหนักที่ยกขึ้นมาและต้องมีการออกแบบที่เหมาะสมตามมาตรฐานความปลอดภัย
6. ตะขอยก (Hook)
ตะขอเป็นส่วนที่ใช้ในการเกี่ยวจับโหลดที่จะยก มีหลากหลายรูปแบบ
ตามประเภทของโหลด เช่น ตะขอเดี่ยว ตะขอคู่ หรือแม้กระทั่งระบบจับยึดแบบพิเศษ
สำหรับยกวัตถุเฉพาะทาง
7. ระบบหมุน (Rotation System)
สำหรับเครนที่มีแขนหมุน ส่วนนี้จะช่วยให้แขนยื่นสามารถหมุนได้รอบทิศทาง
หรือในองศาที่กำหนด โดยทั่วไปสามารถหมุนได้ถึง 180 องศาหรือ 270 องศา
ขึ้นอยู่กับการออกแบบและข้อจำกัดของพื้นที่
8. ชุดลูกล้อหรือรางเลื่อน (Roller or Sliding Mechanism)
ใช้สำหรับเครนที่มีแขนยื่นที่สามารถเลื่อนขึ้นลงหรือหมุนไปมาบนโครงสร้างเพื่อลดความฝืด
ช่วยให้การเคลื่อนย้ายรอกและโหลดสะดวกขึ้น
ส่วนประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อทำให้เครนติดผนังสามารถยกและเคลื่อนย้ายโหลดได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เครนติดผนัง (Wall-mounted crane) มีข้อจำกัด
หลายประการที่ควรพิจารณาก่อนการเลือกใช้งาน:
1. การพึ่งพาโครงสร้างผนังหรือเสา
เครนชนิดนี้ต้องติดตั้งกับผนังหรือเสาที่มีความแข็งแรงและมั่นคง
หากโครงสร้างไม่แข็งแรงเพียงพอ อาจทำให้เกิดความเสียหาย
หรืออุบัติเหตุได้ ดังนั้นต้องมีการตรวจสอบและเสริมความแข็งแรงของผนังหรือเสาก่อนติดตั้ง
2. พื้นที่การทำงานจำกัด
เครนติดผนังมีรัศมีการทำงานจำกัดตามความยาวของแขนยื่น
มักจะเคลื่อนย้ายได้เฉพาะในระยะรัศมีที่แขนยื่นถึงเท่านั้น
ไม่สามารถเข้าถึงทุกจุดในพื้นที่ทำงานได้เหมือนเครนแบบอื่น เช่น เครนเหนือศีรษะ (Overhead crane)
3. ข้อจำกัดด้านน้ำหนัก
เครนติดผนังมักถูกออกแบบมาให้ยกน้ำหนักเบาถึงปานกลางเท่านั้น
หากต้องยกน้ำหนักมาก เครนชนิดนี้อาจไม่เหมาะสม อาจจำเป็น
ต้องเลือกใช้เครนแบบอื่นที่มีความสามารถในการยกน้ำหนักที่มากกว่า
4. มุมการหมุนที่จำกัด
แม้ว่าแขนของเครนติดผนังบางรุ่นจะหมุนได้ แต่ก็มักจะหมุนได้เพียง 180 องศา
หรือสูงสุดไม่เกิน 270 องศา ทำให้ไม่สามารถหมุนได้เต็ม 360 องศา
ซึ่งอาจจำกัดการเข้าถึงในบางพื้นที่
5. การติดตั้งและเคลื่อนย้าย
เมื่อเครนติดตั้งแล้วจะย้ายที่ได้ยาก ต้องมีการติดตั้งใหม่หรือปรับโครงสร้าง
ซึ่งต่างจากเครนแบบเคลื่อนที่ (Mobile crane) ที่สามารถย้ายไปยัง
ตำแหน่งต่างๆ ได้ง่ายกว่า
6. การบำรุงรักษาโครงสร้าง
เนื่องจากต้องยึดติดกับโครงสร้างผนังหรือเสา การบำรุงรักษาต้องรวมถึง
การตรวจสอบโครงสร้างอาคารที่รองรับด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้าง
ยังคงมั่นคงและรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย
7. ข้อจำกัดของการใช้งานในพื้นที่สูง
เครนติดผนังมักเหมาะกับการใช้งานในระดับความสูงจำกัด
ถ้าต้องการยกของขึ้นไปยังจุดสูงมากๆ เช่น ในโกดังที่มีเพดานสูง
เครนชนิดนี้อาจไม่เพียงพอในการทำงาน
การพิจารณาข้อจำกัดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญก่อนการเลือกใช้เครนติดผนัง
เพื่อลดความเสี่ยงและเลือกเครนที่เหมาะสมกับลักษณะงานและพื้นที่
สั่งซื้อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร: 034-479-586 , 034-479-976
สายด่วน : 061-497-8264
